วว.ชูบริการชีวภัณฑ์แบบครบวงจร @ มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565

ดร.ตันติมา  กำลัง  นักวิจัยอาวุโส  ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์  ในฐานะผู้แทนสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย  (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  นำงานบริการชีวภัณฑ์แบบครบวงจร ที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ร่วมจัดแสดงนิทรรศการในงานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2565  (Thailand  Research  Expo 2022) ซึ่งสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศกำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 สิงหาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อเป็นเวทีระดับชาติในการนำเสนอความก้าวหน้าผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีศักยภาพพร้อมใช้ประโยชน์และเผยแพร่องค์ความรู้ กระจายโอกาสการเข้าถึงฐานข้อมูลความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ โอกาสนี้ วว. ได้รับเกียรติจาก ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช.  เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ ในวันที่  20 กรกฎาคม  2565 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์

ทั้งนี้ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการมุ่งเน้นวิจัยและพัฒนาด้านเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์  เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วนของประเทศ ดำเนินงานโดย ICPIM 2  หรือ ศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร 2  ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้  ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์  วว. มีสายการผลิต “สารชีวภัณฑ์” ครอบคลุมตอบโจทย์ทั้งสายการผลิตเชื้อราและแบคทีเรีย ที่เป็นประโยชน์ทั้งระบบการผลิตพืช มีประสิทธิภาพควบคุมศัตรูพืช   ปศุสัตว์ และประมง  มีกำลังการผลิตรวมต่อปี 115,000 ลิตร  เพื่อการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมของประเทศให้ยั่งยืน ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมของการใช้สารชีวภัณฑ์ต่อภาคเกษตรกรรม คือ เป็นการยกระดับผลิตผลทางการเกษตรในการรองรับนโยบายของรัฐบาล มุ่งสู่ระบบการผลิตพืชปลอดภัย และระบบการผลิตพืชอินทรีย์ เพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตร ลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ลดการตกค้างของสารเคมีในพืชผลการเกษตร ปลอดภัยทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค ต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทย

โรงงาน  ICPIM 2   มีศักยภาพตอบโจทย์ให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทย ให้บริการครบวงจรทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ใหม่ๆ ในระดับห้องปฏิบัติการ และทดสอบกระบวนการผลิต ขยายจุลินทรีย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม  สามารถผลิตสารชีวภัณฑ์ได้จำนวน  3  รูปแบบ คือ  หัวเชื้อเหลว  หัวเชื้อน้ำ และหัวเชื้อผง  ในส่วนของบรรจุภัณฑ์มี  3 ขนาด คือ  เล็ก กลาง และใหญ่ สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ชีวภัณฑ์ทั้งรายย่อยและรายใหญ่

นอกจากนั้นยังมีการบูรณาการดำเนินงานครอบคลุมและรองรับงานด้านชีวภัณฑ์ครบวงจร  ได้แก่ศูนย์จุลินทรีย์    มีสายพันธ์จุลินทรีย์ในคลังมากกว่า  11,000 สายพันธุ์ เพื่อนำไปวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ใหม่  โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ   พร้อมให้บริการจัดเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ให้กับผู้ประกอบการ  ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร   มีห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐานตาม OECD  GLP  GUIDLINE  ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบความเป็นพิษของจุลินทรีย์ จุดเด่นของสารชีวภัณฑ์ที่ วว. ผลิต  มีดังนี้   1.ผ่านการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของประสิทธิภาพในการควบคุมศัตรูพืช 2.มีการทดสอบความเป็นพิษในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ISO/IEC  17025 ตามหลัก OECD GLP GUILDLINE  และ 3.ผ่านการผลิตในโรงงานด้วยเครื่องจักรระดับกึ่งอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน กระบวนการผลิตสะอาด ปราศจากเชื้ออื่นปนเปื้อน

          นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในงานด้านชีวภัณฑ์ โดยมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา รับน้องๆในระดับอุดมศึกษามาเรียนรู้  ฝึกงาน  รวมถึงทำวิจัยในด้านต่างๆ ของการพัฒนางานด้านชีวภัณฑ์ ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ  โรงงาน และภาคสนาม เพื่อเป็นแรงงานรองรับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพต่อไปในอนาคต

          การนำสารชีวภัณฑ์ไปใช้ประโยชน์    วว.  นำสารชีวภัณฑ์ที่วิจัย พัฒนาและผลิต ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานพื้นที่ “กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัด”  รวมจำนวน  1.3  ล้านลิตร เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชทดแทนสารเคมีทางการเกษตร ลดสารพิษตกค้าง เพิ่มความปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรผู้ใช้  ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม  และลดการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ  โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสารชีวภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และอยุธยา ครอบคลุม   4  กลุ่มพืชเศรษฐกิจ ได้แก่  ไม้ผล พืชไร่ (ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง)  พืชสมุนไพรและพืชผัก  รวมทั้งได้พัฒนากระบวนการขยายชีวภัณฑ์ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการเพื่อขยายสู่การผลิตเชิงพาณิชย์และระดับชุมชน

          นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมดำเนิน โครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา  2019 ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใน “โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลางตะวันตก ด้วย BCG โมเดล” ของปีงบประมาณ 2564   จากการดำเนินงานส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม  ดังนี้ 

           1. มีเกษตรกรกว่า  200  ราย  นำเทคโนโลยีไปใช้ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการพัฒนาปัจจัยการผลิตหมุนเวียนสำหรับเกษตรกรแปลงใหญ่เพิ่มขึ้นได้  5  ปัจจัยการผลิต  จำนวน   6   เทคโนโลยี   ดังนี้  เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออก   เทคโนโลยีการผลิตข้าวเสริมซีลีเนียม  เทคโนโลยีการพัฒนาวัสดุเพาะเห็ด (ฟางข้าวเสริมซีลีเนียม กากมันสำปะหลัง)  เทคโนโลยีเพิ่มคุณภาพผลผลิตอ้อยด้วยปุ๋ยอินทรีย์เคมีเสริมจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต   เทคโนโลยีเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลผลิตพืซด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต  (มันสำปะหลัง กล้วย)  และเทคโนโลยีขยายชีวภัณฑ์ในถังชุมชนโมเดล วว.

 2. สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร  โดยมีเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และบริษัท รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต functional food และบรรจุภัณฑ์

 3. มีผู้ประกอบการร่วมลงทุนด้าน  R&D  ภายใต้ BCG  Model

 4. เกิดต้นแบบผลิตภัณฑ์ functional   food และเวชสำอาง จำนวน 10  ผลิตภัณฑ์ และต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน  2  ต้นแบบ  ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการดำเนินงานจำนวน  33.3418   ล้านบาท

          ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมของการใช้สารชีวภัณฑ์ซึ่งมีต่อภาคเกษตรกรรม คือ เป็นการยกระดับผลิตผลทางการเกษตรในการรองรับนโยบายของรัฐบาล มุ่งสู่ระบบการผลิตพืชปลอดภัย และระบบการผลิตพืชอินทรีย์ เพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตร ลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ลดการตกค้างของสารเคมีในพืชผลการเกษตร ปลอดภัยทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค ต่อสิ่งแวดล้อม และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทย

                                      ————————————-

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *