ทริพเพิล ไอ สุดแกร่ง ฝ่าปัจจัยลบศก.-ตลาด กำไรไตรมาส 2/2566 ทำสถิตินิวไฮโต 43.6%ด้านบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.20 บาท ต่อหุ้น-ซื้อหุ้นคืน มูลค่ารวมกว่า 460 ล้านบาท

บมจ. ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ (III) โชว์ผลประกอบการโตต่อเนื่อง ฝ่าปัจจัยลบตลาด-เศรษฐกิจทั่วโลก เปิดกำไรสุทธิ  ไตรมาส 2/2566 แตะ 163.4 ล้านบาท ทำสถิตินิวไฮรอบใหม่เติบโต 43.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และโตจาก      ไตรมาสแรกปีนี้ 9.6% มั่นใจภาพรวม 6 เดือนข้างหน้าแนวโน้มขาขึ้น จับสัญญาณฟื้นตัวของดีมานด์การขนส่งระหว่างประเทศ การเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน ค่าระวางเริ่มนิ่ง และการขยายพื้นที่ธุรกิจจากการลงทุนภายใต้กลยุทธ์ Logistics and Beyond ล่าสุดบอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.20 บาท ต่อหุ้น-ซื้อหุ้นคืน มูลค่ารวมกว่า 460 ล้านบาท

นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2566 ของบริษัทฯ ยังคงความสามารถในการทำกำไรได้เป็นอย่างดี โดยมีกำไรสุทธิ 163.4 ล้านบาท เติบโต 43.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา 9.6% สวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรมที่มีแรงกดดันจากทิศทางดัชนีค่าระวางที่ปรับตัวลดลง 5 ไตรมาสติดต่อกัน ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมชะลอตัวทั่วโลก และภาคการส่งออกของไทยยังติดลบ

ทั้งนี้ ผลประกอบการที่โดดเด่นดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จของการขับเคลื่อนกลยุทธ์ Logistics and Beyond ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นขยายบริการและลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร ที่มีความหลากหลายและครอบคลุมทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาค เพื่อเป็นการขยายแหล่งรายได้ พื้นที่การทำธุรกิจ และรับรู้กำไรจากธุรกิจใหม่ ที่สามารถต่อยอดธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมความต้องการด้านโลจิสติกส์ในทุกมิติ ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ที่มีผลกระทบต่อธุรกิจได้เป็นอย่างดี

“การปรับเปลี่ยนโมเดลการทำธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Logistics and Beyond  ในอีกมุมหนึ่งยังเป็นแนวทางรับมือความผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ดังนั้นหนึ่งในนั้นก็คือ Beyond Boundary การออกไปทำธุรกิจนอกประเทศไทย      ก้าวไปเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค และเติบโตจากการเข้าไปลงทุนใหม่ๆ ทั้งผ่านการซื้อกิจการ ขยายการร่วมลงทุนกับพันธมิตรธุรกิจ ทำให้เราได้ผลตอบแทนจากการลงทุนกลับเข้ามา ซึ่งการเติบโตสร้างนิวไฮอีกครั้งของผลงานช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ก็มีสาเหตุหลักจากผลประกอบการที่โดดเด่นจากการเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ”   นายทิพย์เผย

สืบเนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 8 สิงหาคม 2566 ได้มีมติอนุมัติเห็นชอบให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับหุ้นสามัญสำหรับผลการดำเนินงานจากงวดผลการดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 และกำไรสะสม ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น  161,550,624 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผล ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2566

นอกจากนี้ที่ประชุมยังอนุมัติเพิ่มเติมในโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) จำนวนหุ้นที่ซื้อคืนไม่เกิน 25,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 3.10 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายในวงเงินไม่เกิน    300,000,000 บาท โดยมีกรอบระยะเวลาการซื้อหุ้นคืนตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้การจ่ายปันผลและโครงการซื้อหุ้นคือ มีวงเงินรวม 461,550,624 บาท อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท ที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งโดยปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)  ที่ 0.25 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD/E) ที่ 0.17 เท่า

“โครงการซื้อหุ้นคืน ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการปรับแผนโครงสร้างทุนขององค์กรเพื่อบริหารการเงินเพื่อให้เกิดผลตอบ แทนสูงสุดแก่นักลงทุน โดยที่ผ่านมาราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากปัจจัยภาวะอุตสาหกรรมกดดัน การคาดการณ์การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยที่ลดต่ำลง อย่างไรก็ตามผลประกอบการของบริษัทฯ สามารถเติบโตสวนทางกับปัจจัยลบต่างๆ และยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีระดับ P/E เพียง 11 เท่า  จึงเป็นโอกาสอันดีในการเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจบริษัทเสมอมา” นายทิพย์กล่าวต่อ

สำหรับการคาดการณ์ครึ่งปีหลังของบริษัทฯ นายทิพย์มั่นใจว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เพราะโดยทั่วไปแล้วเป็นช่วงเวลาที่เป็น High Season ของธุรกิจโลจิสติกส์ ปริมาณการขนส่งจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตราค่าระวางที่ปรับตัวลดลงเริ่มคงที่ ประกอบกับการคาดการณ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า ภาคการส่งออกจะฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่จากข้อมูลบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT มีการปรับประมาณการการจราจรทางอากาศในปี 2566 เพิ่มขึ้น มีปริมาณนักท่องเที่ยวและปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยบวกแก่ธุรกิจการให้บริการภาคพื้นสนามบิน ผู้โดยสาร และคลังสินค้าที่ท่าอากาศยาน  รวมไปถึงธุรกิจการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่กลุ่มบริษัทฯ ให้บริการ

และในส่วนของความคืบหน้าของการนำบริษัท ANI ซึ่งเป็นบริษัทลูกของทริพเพิล ไอ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่ายังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิมคือ ภายในไตรมาสที่ 4/2566 ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนสายการบินระดับภูมิภาครายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่จดทะเบียนในตลาดฯ

                     ———————————————-

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *