ขับเคลื่อนอนาคตพลังงานของไทย: แนวโน้มการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สำคัญในปี 2567

โดย มิสเตอร์แอนเดรียส มอลทิเซน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานประจำภูมิภาคเอเชีย เอบีบี 

หน่วยงานต่างๆ ทั่วโลกต่างกำลังพยายามร่วมกันในการเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล มาสู่การใช้พลังงานสะอาด ในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 28 (COP28) ประเทศพันธมิตรที่เข้าร่วมเห็นพ้องต้องกันกับสัญญาณจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านของยุคเชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็ว ยุติธรรม และเท่าเทียมกัน 

ความก้าวหน้าของพลังงานสะอาดในรูปแบบที่หลากหลาย ถือเป็นเป้าหมายระดับโลกร่วมกัน รายงานจากทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (IRENA) พบว่า ในปี 2565 เอเชียมีกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนคิดเป็นสัดส่วน 60% หรือประมาณ 1.63 TW (เทราวัตต์) ของกำลังการผลิตทั่วโลก โดยประเทศจีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในการผลิตพลังงานหมุนเวียนนี้

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

บทบาทของเอเชียในการบรรลุเป้าหมายสภาพภูมิอากาศโลกเป็นสิ่งสำคัญ ภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา ก่อให้เกิดกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก ตามรายงานเฉพาะด้านเรื่องภูมิภาคเอเชียกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อบรรลุเป้าหมายสู่ Net Zero: คาดการณ์เศรษฐกิจเอเชีย ประจำปี 2566  (Asia in the Global Transition to Net Zero: Asian Development Outlook 2023) เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีความเข้มข้นของการปล่อยมลพิษต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติถึง 41% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 

อย่างไรก็ตามข่าวดีก็คือ บางประเทศในเอเชียกำลังนำหน้าในการสำรวจพลังงานทดแทนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต และจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย พลังงานสะอาดในปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 22% ของกำลังการผลิตพลังงานทั้งหมด ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 75% ภายในปี 2573 นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันที่สำคัญจากรัฐบาลในการดำเนินนโยบายพลังงานสะอาด เช่น แผนพลังงานแห่งชาติ ซึ่งตั้งเป้าไว้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในสัดส่วน 50% ภายในปี 2593

เศรษฐกิจของประเทศไทยได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของการส่งออก ภาคอุตสาหกรรม และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โอกาสที่สำคัญนี้มาพร้อมกับความท้าทาย นั่นคือ การตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นของประเทศ ซึ่งจะสร้างแรงตึงเครียดให้กับการจัดหาพลังงานภายในประเทศในปัจจุบัน ความสำเร็จจึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็วางรากฐานต่อสภาพภูมิอากาศที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่ออนาคตข้างหน้า

ซึ่งหมายความว่าประเทศจำเป็นต้องพัฒนาเชิงกลยุทธ์และใช้โซลูชั่นและเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่คุ้มค่า พร้อมกับมีโมเดลทางการเงินที่แข็งแกร่ง และกรอบนโยบายที่จูงใจให้เกิดการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้งาน

 ความร่วมมือเพื่อการลดคาร์บอนและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ 

การใช้พลังงานสะอาดได้รับความสนใจมากขึ้นจากประเทศต่างๆ ภูมิภาคเอเชียถือเป็นแนวโน้มเชิงบวก อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายในการลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซลง 25% ภายในปี 2573 และบรรลุการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593

การเผชิญกับความซับซ้อนของความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ ความจำเป็นสำหรับแนวทางที่สมดุลระหว่างการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญ การเปิดรับความร่วมมือระหว่างประเทศ และภาคส่วนต่างๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดเส้นทางที่ยั่งยืนในอนาคต

ประเทศไทยประกาศเจตจำนงในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้ความเป็นกลางทางคาร์บอน และคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งมีภารกิจที่ต้องทำมากกว่าการกำจัดการปล่อยก๊าซคาร์บอน เช่น มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) และไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนอื่นๆ รัฐบาลตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดเป็น 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากพลังงานทดแทนภายในปี 2593

เทคโนโลยีหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานให้ประสบความสำเร็จ

นขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่แหล่งพลังงานสะอาดเพิ่มสูงขึ้น การใช้เชื้อเพลิงพลังงานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น แนวทางนี้ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ราบรื่นและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ความมั่นคงด้านพลังงานยังคงเป็นข้อกังวล ด้วยการมุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเชื้อเพลิงทั่วไป เราไม่เพียงแต่จัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในทันที แต่ยังปูทางไปสู่อนาคตด้านพลังงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นอีกด้วย การสร้างสมดุลระหว่างความต้องการความมั่นคงด้านพลังงานกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนนั้นจำเป็นต้องมีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่ไปกับกรอบนโยบายที่แข็งแกร่งที่จูงใจให้เกิดแนวปฏิบัติที่สร้างคาร์บอนต่ำ

ตัวอย่างเช่น การศึกษาและพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ในประเทศไทย ซึ่งริเริ่มโดยบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท.สผ.) ในปี 2564 ปตท.สผ. เป็นผู้นำในความพยายามของโครงการ CCS ของไทยโดยมีศูนย์กลางขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งจะสามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6-10 ล้านตันต่อปีภายในปี 2573 ควบคู่ไปกับโครงการระดับชาติโครงการแรกที่แหล่งก๊าซอาทิตย์ ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2570 โดยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 1 ล้านตันต่อปี

เอบีบี ลงทุนในความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อลดอุปสรรคในการนำไปใช้งาน ในสหราชอาณาจักร บริษัทร่วมมือกับ Pace CCS ซึ่งใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล ทวิน ของเอบีบี เพื่อจำลองขั้นตอนการออกแบบและสถานการณ์การทดสอบ เพื่อพิสูจน์แนวคิดและรับรองว่าการออกแบบนั้นเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เทคโนโลยีดังกล่าวจะแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าจะสามารถเปลี่ยนไปสู่การดำเนินงานของ CCS ได้อย่างราบรื่นได้อย่างไร

ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย: ไฮโดรเจนและแอมโมเนียมีศักยภาพที่สำคัญในฐานะแหล่งพลังงานที่นำไปสู่การ ลดคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ โดยการเพิ่มกำลังการผลิตถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคส่วนต่างๆ ตัวอย่างเช่น ห่วงโซ่อุปทานพลังงานไฮโดรเจนของออสเตรเลีย (HESC) เป็นห่วงโซ่อุปทานไฮโดรเจนเหลวเชิงพาณิชย์แห่งแรกที่มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกได้ 1.8 ล้านตันต่อปี ลักษณะการใช้งานที่หลากหลายของเชื้อเพลิงทั้งสองประเภทได้กระตุ้นให้ประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สร้างเครือข่ายการจัดหาร่วมกันสำหรับเชื้อเพลิงคาร์บอนเป็นกลาง ในประเทศไทย ก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลส่งเสริมให้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงใหม่ในการผลิตไฟฟ้าควบคู่ไปกับก๊าซธรรมชาติ โดยมีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนของไฮโดรเจนมากกว่า 5% ของการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2574 นอกจากนี้ ประเทศยังขอความช่วยเหลือทางเทคนิคจากศูนย์เทคโนโลยีและเครือข่ายสภาพภูมิอากาศ (CTCN) เพื่อพัฒนายุทธศาสตร์ระดับชาติเกี่ยวกับไฮโดรเจนสีเขียว นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ประกาศแผนการสร้างโครงการไฮโดรเจนสีเขียวเชิงพาณิชย์แห่งแรกร่วมกับจีนอีกด้วย

อย่างไรก็ตามการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนีย มีข้อกังวลด้านความปลอดภัยและความท้าทายเกี่ยวกับการผลิต จากคุณสมบัติที่ติดไฟง่าย ดังนั้น การจัดเก็บ การขนส่ง และการใช้งานขั้นสุดท้ายของไฮโดรเจน จะต้องได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยก่อนที่จะนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย นี่คือจุดที่เทคโนโลยี ดิจิทัล ทวิน สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ 

การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลเพื่อการจัดการพลังงานที่ยั่งยืน: ภาคพลังงานกำลังนำเทคโนโลยีดิจิทัล ทวินมาใช้มากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้า และลดความเสี่ยงในตลาดพลังงานใหม่ ดิจิทัล ทวิน เป็นเทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูล โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น นำไปสู่ประสิทธิภาพและความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น เช่น การลดการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

เอบีบี กำลังพัฒนาโซลูชันระบบอัตโนมัติ การใช้พลังงานไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของภาคส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งรวมถึงการดำเนินงานด้วยไฟฟ้า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเครื่องวิเคราะห์ และการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยียุคถัดไป เช่น CCS

พลังงานหมุนเวียน: พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งในพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญในประเทศไทย ปัจจุบันกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ 3.3 กิกะวัตต์ (GW) คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดในภูมิภาคอาเซียน พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่เขื่อนสิรินธร จังหวัดอุดรราชธานี เอบีบี นำเสนอโซลูชันการจัดการพลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและความยืดหยุ่นในการดำเนินงานสำหรับโครงการพลังน้ำ

เอบีบีนำเสนอโซลูชันดิจิทัลที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ทั่วโลกและประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน แพลตฟอร์มโซลูชันเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายไฟฟ้า ปรับปรุงประสิทธิภาพ และช่วยให้สามารถบูรณาการแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้อย่างราบรื่น เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงาน ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ และเมื่อเร็วๆ นี้ เอบีบีได้รับสัญญาเพื่อทำให้โรงงานพลาสติกชีวภาพแห่งใหม่ในประเทศไทยเปลี่ยนอ้อยเป็นโพลีเมอร์ชีวภาพ คือ Ingeo™ โดยอัตโนมัติ โรงงานแห่งนี้ตั้งเป้าที่จะผลิตพลาสติกที่ยั่งยืนได้ 75,000 ตันต่อปี

การสร้างแรงงานสู่ Net Zero

มีความเห็นพ้องต้องกันอย่างกว้างขวางว่า เพื่อส่งมอบอนาคตที่ยั่งยืนและคาร์บอนเป็นศูนย์ จำเป็นต้องมีการพัฒนาบุคลากรด้านพลังงานทั้งหมด เอเชียยังคงมีแรงงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมและยกระดับทักษะ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือ และความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ และสถาบันการศึกษา เอบีบี มุ่งมั่นที่จะสร้างแรงงานสุทธิเป็นศูนย์ ไม่ใช่แค่ทั่วโลก แต่ยังรวมถึงในประเทศไทยด้วย ด้วยพนักงานมากกว่า 400 คนและฐานการติดตั้ง 5 แห่งที่นี่ เราลงทุนอย่างจริงจังเพื่อยกระดับทักษะแรงงานไทยและร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่น – โครงการริเริ่มต่างๆ เช่น โรงงานฝึกอบรมการดักจับคาร์บอนแห่งเดียวในโลก ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือระหว่าง เอบีบี และมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล  ที่ซึ่งนักศึกษาและพนักงานจะได้รับประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สำคัญนี้ เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในการเสริมสร้างภูมิทัศน์ของแรงงานสุทธิเป็นศูนย์

การเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานนำเสนอโอกาสและความท้าทายที่หลากหลายในมิติทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่จำเป็นอยู่แล้ว แต่การขยายขนาดอย่างรวดเร็วและเพียงพอก็มีความจำเป็น แม้ว่าความร่วมมือจะเป็นกุญแจสำคัญ ผู้กำหนดนโยบายจะต้องจัดลำดับความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภาคพลังงานด้วยแรงจูงใจจากรัฐบาลที่เหมาะสม ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่สำคัญมากไปกว่านี้สำหรับชาวเอเชียในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่สะอาดและเท่าเทียมกัน

 เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเอบีบี และการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานได้ที่ ABB.com

                                                               —————————————————

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *