หลักทรัพย์บัวหลวง มองหุ้นไทยครึ่งแรกปี 2568 ผันผวนต่อเนื่อง แนะจับตา “ทรัมป์” เปิดสงครามการค้ารอบใหม่

หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ตลาดหุ้นไทยปี 2568 แนวโน้มครึ่งปีแรกไม่คึกคักเท่าครึ่งปีหลัง เหตุตลาดกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ระส่ำรอบใหม่ และสองประเทศยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ และจีน กำลังเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจโตชะลอตัว ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุนในตลาดทุน ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง มองเป้าหมายดัชนีปี 2568 ที่ 1,485 จุด แต่หากปัจจัยเสี่ยงจบสิ้นดัชนีสูงสุดประเมินไว้ที่ระดับ 1,585 จุด บนสมมติฐาน EPS 95 บาทต่อหุ้น แนะลงทุน “หุ้นกลุ่มปลอดภัย” พื้นฐานแกร่ง มีปันผลสม่ำเสมอ เพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพ.ย. 2567 ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนที่ระดับ 5.2%ถือว่าทำผลงานได้ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชีย โดยในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ เช่น เศรษฐกิจโลกโตชะลอตัว, สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลาย ๆ ประเทศโตต่ำกว่าคาด และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น ด้วยการปรับกลยุทธ์หันมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้มากขึ้น

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2567 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ขนาด 1.5 แสนล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่เริ่มปรับตัวลดลง แต่เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นได้ระดับหนึ่งก็ถูกเทขายเพื่อรอดูตัวเลขกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และข้อมูลด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ ล่าสุดบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2567 ติดลบ 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่าออกมาต่ำกว่าตลาดคาด จากภาพกำไรบจ. ที่ออกมาค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้เรายังเห็นภาพการปรับประมาณการณ์กำไรลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเรายังคาดว่าจะเห็น New Year Rally เกิดขึ้นได้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกหนึ่งครั้ง หรือ 0.25% ก่อนสิ้นปี และกองทุนเพื่อหักลดหย่อนภาษีบุคคลที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในเดือนธ.ค. 2567 ราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท

“ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดัน หลังจากงบไตรมาส 3 ปี 2567 ของหลายบริษัทออกมาไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้ภาพรวมของตลาดมีความเปราะบางมากขึ้น เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เพราะดัชนีชี้วัดหลายตัวกำลังส่งสัญญาณไปในทิศทางที่ผสมผสานไม่ได้แสดงความชัดเจนต่อทิศทางตลาดหุ้น เช่น อัตราการทำกำไรบริษัท, อัตราขยายตัวกำไรบริษัท, ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนการลงทุนระหว่างตราสารหนี้และตราสารทุน โดยเรายังคงมีมุมมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2567 แถว 1,430  จุด” นายชัยพร กล่าว

ส่วนมุมมองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเร่งขึ้นราว 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลัง GDP ไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัว 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ขยายตัวมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยมีเหตุผลสนับสนุนมาจากฐานที่ต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่น่าจะแจกเฟสสองให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปก่อนวันตรุษจีนปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ ขณะที่มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว (เที่ยวคนละครึ่ง) จะทยอยออกมาเพิ่มเติมก่อนสิ้นปีนี้ ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมนำเสนอโครงการ “แอ่วเหนือคนละครึ่ง” กระตุ้นท่องเที่ยวภาคเหนือ 2 จังหวัด (เชียงใหม่-เชียงราย) ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง High Season จะอยู่ราว 9.5 ล้านคน และน่าจะทำให้ยอดทั้งปีแตะระดับ 35.6 ล้านคน
อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังคงมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่มองว่าน่าจะชะลอตัวลงแรงกว่าที่คาดจากดีมานด์ของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอลง ทำให้เรายังคงยืนยันมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปี 2567 เติบโตที่ 2.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

นายชัยพร กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2568 ว่า ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกอาจไม่ค่อยสดใส เพราะยังคงมีความเสี่ยงหลายเรื่องที่อาจกระทบต่อการลงทุน เช่น ความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รอบใหม่ หลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นครั้งที่ 2 และกำลังจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในช่วงต้นปีหน้า รวมถึงเศรษฐกิจของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ สหรัฐฯ และจีน มีแนวโน้มอัตราเติบโตเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังอาจเริ่มเห็นตลาดหุ้นฟื้นตัวหนุนโดยเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่อาจไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น โดยรับอานิสงส์ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในเดือนธ.ค.นี้ และปรับลดลงอีก 1% ในปี 2568 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ระดับ 3.25% ในปี 2568 ส่วนดอกเบี้ยของไทยมีโอกาสปรับลดลงได้เต็มที่ไม่เกิน 2 ครั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายรัฐบาลทั่วโลกจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

“ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 2568 ที่ระดับ 1,485 จุด และคาดการณ์กำไรบจ. (EPS) ที่ระดับ 95 บาทต่อหุ้น แต่หากมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน เช่น อัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และการลงทุนของภาครัฐมาตามนัด อาจหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้อีกประมาณ 100 จุด หรือกรณี Bull case เรามองตลาดหุ้นไทยไปได้มากสุดที่ 1,585 จุด ปัจจุบันนักลงทุนไม่ได้คาดหวังการลงทุนภาครัฐมากนัก แต่หากการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ทำได้จริงอาจช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงส่งผลบวกต่อภาคการก่อสร้างและการจ้างงานภายในประเทศ” นายชัยพร กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2568 ท่ามกลางความผันผวน แนะนำนักลงทุนเน้นทำ Asset Allocation
กระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้เป็นหลัก ส่วนที่เหลือให้น้ำหนักในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ สัดส่วนราว 20% (ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง จะปรับมุมมองการลงทุนอีกครั้งในช่วงเดือนก.พ. 2568) โดยให้เน้นลงทุนใน “หุ้นกลุ่มปลอดภัย”(Defensive) ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ  เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องและปรับตัวต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 เช่น กลุ่ม Commerce ที่เน้นการบริโภคและการใช้จ่ายประจำวัน กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มท่องเที่ยว

ทั้งนี้นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนในกลุ่ม Auto เหตุจากธนาคารและไฟแนนซ์ยังคุมเข้มเรื่องการปล่อยกู้ และการเปลี่ยนพฤติกรรมมาสู่รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ส่วนการลงทุนในกลุ่มปิโตรเคมีตอนนี้ภาพรวมยังไม่ค่อยดีนัก ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับบริษัทในเอเชียมีการขยายกำลังการผลิตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างแรงกดดันต่ออัตราการทำกำไรของบริษัทในธุรกิจนี้ ซึ่งในปี 2567 บางบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการทำรายการบัญชีพิเศษจนฉุดงบการเงิน ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 2568 อาจอยู่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังกำลังการผลิตและดีมานด์ปรับตัวลดลง โดยภาพรวมแล้วกลุ่มพลังงานและกลุ่มโรงกลั่นน่าจะออกมาดีกว่ากลุ่มปิโตรเคมี

“ตลาดหุ้นที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้นในปีหน้า การสร้างผลตอบแทนในสินทรัพย์ทางเลือกถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนประมาณ 6-10% ต่อปี ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามการลงทุน เราเแนะนำเครื่องมือช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ด้วยการออมหุ้นอัตโนมัติผ่านกลยุทธ์ DCAMIXB-A และการจัดพอร์ตกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ (Auto Top Funds Portfolio) ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมืออาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด” นายชัยพร กล่าว 

                                      ————————————————

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *