บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WHA Group) ประกาศทิศทางธุรกิจและเป้าหมายสำหรับปี 2568 มุ่งเน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 5 กลุ่มธุรกิจหลักครอบคลุมธุรกิจล่าสุด WHA Mobility คาดการณ์กำไรสูงต่อเนื่องในปี 2567 มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 14,400 ล้านบาท อัตรากำไร EBITDA มากกว่า 55% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า ตั้งเป้าหมายรายได้รวม 5 ปีที่ 150,000 ล้านบาท โดยวางกลยุทธ์หลักในการขยายความเป็นผู้นำในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจร นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลโซลูชัน ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครบวงจร ก้าวสู่การเป็นการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) ตลอดจนการนำศักยภาพขององค์กรไปสร้างการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: We Shape the Future”
แผนการดำเนินงานในปี 2568 WHA Group คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 20,000 ล้านบาท และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45% สำหรับแผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) WHA Group เตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยการอัดงบลงทุนกว่า 119,000 ล้านบาท วางแผนสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 2.9 เท่าจากปี 2567 และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งการลงทุนขยายธุรกิจที่สำคัญของ WHA Group จากปัจจัยหนุนด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ที่อาจจะยิ่งทวีความเข้มข้น หลังจากการกลับมาของประธานาธิปดีทรัมป์ที่อาจจะช่วยสร้างโอกาสการลงทุนให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยด้วยพื้นที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ การเป็นศูนย์รวม Supply Chain ที่ครบวงจร ความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค ความมั่นคงทางด้านพลังงาน รวมถึงพลังงานหมุนเวียน แรงงานที่มีคุณภาพ นโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐ ที่เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดาต้าเซนเตอร์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์เซอร์วิส ซึ่ง WHA Group มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมในการรองรับการลงทุน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังต่อยอดสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และประโยชน์ต่อลูกค้า คู่ค้า นักลงทุน และมีผู้ส่วนได้เสียทุกฝ่าย”
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2568 WHA Group ยังคงดำเนินงานตาม 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็น New S-Curve ให้กับองค์กร Enhance the Prominence on Green and Sustainability มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม และ Build High Performance Organization ด้วยการพัฒนา ยกระดับองค์กรในทุกด้านให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง
1.ธุรกิจโลจิสติกส์: ในปี 2567 มีการเติบโตอย่างโดดเด่นด้วยพื้นที่รวมทั้งสิ้น 3,109,000 ตารางเมตร เป็นโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น 167,000 ตารางเมตร สำหรับปี 2568 บริษัทฯ วางกลยุทธ์ในการขยายการเติบโตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม
ในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทำเลยุทธศาสตร์ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พื้นที่ EEC และเมืองรอง โดยในปี 2568 มีแผนขยายโครงการสำคัญในทำเลศักยภาพ ได้แก่ WHA Mega Logistics Center ชลหารพิจิตร กม.4 โครงการ 2 WHA Mega Logistics Center เทพารักษ์ กม. 21 เฟส 3 และ WHA Mega Logistics Center บางนาตราด กม. 23 Inbound รวมพื้นที่กว่า 380,000 ตารางเมตร สำหรับประเทศเวียดนาม เน้นรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง เช่น อีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยโครงการคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งแรกในเวียดนามขนาด 37,000 ตารางเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จ และพร้อมเปิดให้บริการต้นปีนี้ อีกทั้ง ในเดือน มกราคม 2568 บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโลจิสติกส์ในพื้นที่ 300 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้กับตัวเมืองหลักของจังหวัดและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
สำหรับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ จำกัด (WGCL) มุ่งเป้าสู่การยกระดับจาก 3PL เป็น 4PL (Fourth-Party Logistics Provider) โดยอาศัยจุดแข็ง และความเชี่ยวชาญร่วมของ WHA และ GC เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในธุรกิจโลจิสติกส์ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่ 4PL เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยขยายขอบเขตการให้บริการจากการจัดการขนส่งและคลังสินค้า (3PL) ไปสู่การวางแผน ออกแบบ และบูรณาการระบบโลจิสติกส์อย่างครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับบริษัทและลูกค้า
ในส่วน Office Solutions บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานบนทำเลที่ดีเยี่ยมของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 6 โครงการ บนพื้นที่รวมมากกว่า 120,000 ตารางเมตร โครงการล่าสุดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้วในปี 2567 ได้แก่ โครงการ Qube ไลฟ์สไตล์ รีเทลสเปซ บนพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร อยู่ติดสถานี BTS สุรศักดิ์ สำหรับ ปี 2568 มีโครงการใหม่ที่พร้อมให้บริการ ได้แก่ โครงการศูนย์การแพทย์เฉพาะทางใน ย่านสาทร พื้นที่กว่า 6,900 ตารางเมตร ซึ่งคาดว่าแล้วเสร็จในไตรมาส 3/2568
เป้าหมายปี 2568 คือการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร มีโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร และมีแผนการขายสิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART รวมทั้งสิ้นประมาณ 70,000 ตารางเมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท
2.ธุรกิจโมบิลิตี้ (Mobility) โซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mobilix ซึ่งได้เปิดตัวในปี 2567 ประกอบด้วย 3 บริการหลัก คือ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) เป็นบริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) บริการเครื่องชาร์จและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ โมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) แพลตฟอร์มดิจิทัลอัจฉริยะอันทันสมัยสำหรับจัดการรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
ความสำเร็จในปี 2567 มีการให้บริการเช่ารถยนต์ไฟฟ้าอีก 318 คัน โดยสร้างความแข็งแกร่งพร้อมผนึกกำลังกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ของธุรกิจอย่าง Voltality EVMe Grab และเริ่มความร่วมมือการให้บริการเชิงพาณิชย์กับ SHARGE ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem และมีการก่อสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าด้วยกำลังการผลิต 5,400 กิโลวัตต์
โมบิลิกส์ตั้งเป้าให้บริการเช่ารถ EV จำนวนทั้งหมด 20,000 คัน ในอีก 5 ปีข้างหน้า จากกลยุทธ์การสร้างความแข็งแกร่ง ร่วมกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า การจัดการยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ การเป็นเลิศในการให้บริการอย่างครบวงจรพร้อมความยืดหยุ่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยในปี 2568 คาดว่าจะมีรถ EV ภายใต้การบริการเช่ารถมากกว่า 1,700 คัน
3.ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม: ในปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 2,565 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 2,453 ไร่ และประเทศเวียดนาม 112 ไร่ และมียอดโอนที่ดินรวม 2,070 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,727 ไร่ และประเทศเวียดนาม 343 ไร่ โดยลูกค้ารายสำคัญคือ Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในประเทศไทย และ Haier เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่ โดย ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีทั้งหมด 15 นิคมอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ในประเทศไทย 14 แห่ง และประเทศเวียดนาม 1 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8,810 ไร่ เพื่อรองรับความต้องการที่ดินจากนักลงทุนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการในประเทศเวียดนามยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่รวม 2,297 ไร่ ที่ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตลงทุน (Investment Registration Certificate, IRC) เรียบร้อยแล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน นอกจากนี้ในเดือนมกราคม 2568 บริษัทฯ ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่ง พื้นที่รวมประมาณ 4,000 ไร่
สำหรับปี 2568 บริษัทฯ มุ่งรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทย และขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม รวมทั้งมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวม 2,350 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม เน้นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart Industrial Estates) อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเป็นพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชันแบบครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น
4.ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ): ในปี 2567 บริษัทฯ มีปริมาณยอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสียรวมที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 25% โดยโครงการที่ประสบความสำเร็จคือ โครงการซื้อ-ขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(GC) ปริมาณ 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี
สำหรับปี 2568 ในประเทศไทย บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายตัวตามการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในการหาแหล่งน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง ขยายการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมหาโอกาสใหม่ๆ ในการขยายธุรกิจในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรม WHA รวมไปถึงการเข้าร่วมโครงการสาธารณูปโภคน้ำประปาและน้ำเสียในพื้นที่ใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะทำสัญญาซื้อ-ขายน้ำกับการประปาส่วนภูมิภาค ปริมาณสูงสุด 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี นอกจากนี้ยังคงเดินหน้าพัฒนา Smart Water Solutions เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ ลดต้นทุน และลดน้ำสูญเสีย สำหรับเวียดนาม บริษัทฯ วางแผนขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และใช้ความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ ในการพัฒนาประสิทธิภาพโครงการสาธารณูปโภคด้านน้ำที่ได้เข้าไปลงทุน
โดยในปีนี้ ได้ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภายในประเทศประมาณ 132 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเวียดนามประมาณ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยตั้งเป้าที่ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร
ธุรกิจไฟฟ้า: ในปี 2567 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้ว 965 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากพลังงานสะอาดทั้งหมด 437 เมกะวัตต์ สำหรับปี 2568 บริษัทฯ จะเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและนอกประเทศ โดยในไทยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการไมโครกริด ที่นิคมเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Zone 1 ในจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เฟส 1 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 และมุ่งเน้นต่อยอดการขยายธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังดำเนินการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันพลังงานอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor: SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System: BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) เป็นต้น พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์
5.ธุรกิจดิจิทัล: ในปี 2567 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการยกระดับองค์กรในทุกมิติ บรรลุเป้าหมายการเป็น Technology Company และผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Technology-driven Organization) จากการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรในด้านนวัตกรรมดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และการทำโครงการ Digital Transformation ต่างๆ ตลอดช่วงเวลา 3 – 4 ปี ที่ผ่านมา สำหรับปี 2568 WHA Digital ยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจต่างๆ ใน WHA Group ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น Artificial Intelligence, Internet-of-Thing โดยในปัจจุบันมีโครงการ AI Transformation ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 12 โครงการ ได้แก่ Drone Inspection Solution และ IoX Platform for Solar อีกทั้ง WHA Digital พร้อมหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จากการพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ โมบิลิกส์ แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับจัดการยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ โดยได้ตั้งเป้าหมายสำหรับยอดการใช้งานโมบิลิกส์ แพลตฟอร์มที่ประมาณ 900 คัน ภายในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6,000 คัน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายในการพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่พร้อมให้บริการภายใน WHA Group ภายในปี 2568
WHA Group ให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างคุณค่าให้กับสังคม ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายในปี 2572 อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าให้บริการประมาณ 20,000 คัน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยตั้งเป้าหมายมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประมาณ 1,200 เมกะวัตต์ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 683,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี การลดการใช้น้ำจากธรรมชาติลงประมาณ 25,000,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี เทียบเท่ากับปริมาณการใช้น้ำของภาคครัวเรือนกว่า 685,000 คน และการจัดการขยะแบบ Zero Waste ที่จะไม่มีการฝังกลบหรือเผาทำลาย เพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
บทพิสูจน์ความสำเร็จของ WHA Group ในปี 2567 ที่ผ่านมา เห็นได้จากรางวัลต่าง ๆ เช่น รางวัล Best Sustainability Awards ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence จากงาน SET Awards 2024 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ที่ระดับสูงสุด “AAA” รางวัลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) จากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 และรางวัล HR Asia: Sustainable Workplace Awards จาก HR Asia เป็นต้น
————————————–