วันที่ 12 ธันวาคม 2568 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ร่วมกับเมืองพัทยา โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และมูลนิธิสว่างมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ พัทยา จัดกิจกรรม “CPR on the Beach” อบรมการแจ้งเหตุฉุกเฉิน 1669 การฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานด้วยการ CPR และการใช้เครื่อง AED ให้แก่ผู้ประกอบการร่มเตียง นวดไทย เรือประมง และประชาชนในพื้นที่ จำนวน 2,000 คน ณ ท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยา พร้อมยกระดับผู้เข้าอบรมสู่การเป็นอาสาฉุกเฉินชุมชน (อฉช.) หรือ “หมอคนแรก” ที่สามารถให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที สร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างยั่งยืนสืบไป

ในการนี้ ผู้เข้าอบรมทั้ง 2,000 คน ถือเป็นกลุ่มนำร่องที่ได้อบรมผ่านระบบ CPR E-Leaning ของ สพฉ. ซึ่งผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรออนไลน์ และสามารถพัฒนาทักษะต่อยอดในการเป็นอาสาฉุกเฉินชุมชนต่อไป โดยระบบดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นของแอปพลิเคชัน “ฉุกเฉินพลัส” ศูนย์รวมฟังก์ชั่นด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ทั้งการแจ้งเหตุฉุกเฉิน พิกัดรถพยาบาล พิกัดเครื่อง AED รายชื่อ อฉช. ฯลฯ ที่ สพฉ. จะใช้เป็นเครื่องมือในการยกระดับการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินที่แม่นยำ รวดเร็ว และทั่วถึงยิ่งกว่าเดิม โดยมีกำหนดเปิดตัวในช่วงต้นปี 2569 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนไทยทุกคน

ดร.พิเชษฐ์ หนองช้าง เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า กิจกรรม “CPR on the Beach” จัดขึ้นตามเจตจำนงของ สพฉ. ที่มุ่งสร้างอาสาฉุกเฉินชุมชนหรือภาคประชาชนที่มีความรู้และทักษะการปฐมพยาบาลฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน การ CPR และใช้เครื่อง AED มีความรอบรู้กลุ่มอาการฉุกเฉินวิกฤต การเอาตัวรอดจากเหตุภัยพิบัติ สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้อย่างถูกวิธี และสามารถแจ้งเหตุและเข้าให้การช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะ “หมอคนแรก” โดย สพฉ. มุ่งเป้าผลิต อฉช. ผ่านกลไกของภาคีเครือข่ายและศูนย์การเรียนรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่ขึ้นทะเบียนกับ สพฉ. มุ่งเป้าให้คนไทยทุกคน CPR เป็น เพื่อลดอัตราการสูญเสียชีวิตและพิการของผู้ป่วยฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิผล

“สพฉ. มุ่งขับเคลื่อนนโยบายอยากให้คนไทยทุกคน CPR เป็น โดยวางเป้าหมายระยะแรกไว้ที่ 10 ล้านคน นอกจากนี้เรายังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้นอย่างแอปพลิเคชันฉุกเฉินพลัส ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่ง สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และครอบคลุม ลดการสูญเสียชีวิตและความพิการ และลดมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศต่อไป” ดร.พิเชษฐ์ กล่าว

