สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ และสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย จัดใหญ่เปิดงาน “เทศกาลซื้ออัญมณีและเครื่องประดับไทย Thailand Gems & Jewelry Fair 2023” ณ อิมแพคชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เพื่อสร้างให้เป็นเทศกาลประจำปี ทุกสัปดาห์ที่ 4 ในเดือนกุมภาพันธ์ พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “เมืองหลวงแห่งอัญมณี” และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ตลอดจนแสดงศักยภาพในการยกระดับ “พลอยไทย” ให้เป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทรงพลังในเวทีการค้าอัญมณีระดับโลก ด้านผู้เข้าชมงานจะได้พบกับผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับนานาชาติ รวมถึงสินค้าครบทุกประเภททั้งพลอยสี เพชร เครื่องประดับทอง เครื่องประดับเงินและอีกมากมาย ณ อิมแพคชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 22 – 26 กุมภาพันธ์ 2566 คาดมีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 10,000 ราย ตั้งเป้ายอดซื้อขายในงานไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท และยอดส่งออกกว่า
100,000 ล้านบาท
นางสาวพรทิวา นิพาริน นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ เปิดเผยว่า “การวางรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้แข็งแกร่งในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์กำลังเปลี่ยนโลกนั้นสำคัญมาก ประเทศไทยต้องมีอาชีพและอุตสาหกรรมที่สามารถอยู่กับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ และอุตสาหกรรมนั้นยังต้องโดดเด่นพอที่จะแข่งขันกับชาติอื่น ๆ โดยอัญมณีและเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมของไทยที่แข็งแกร่งต่อเนื่องมายาวนาน เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 3 ของประเทศ นอกจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจแล้ว ลักษณะงานยังมีความซับซ้อน เป็นการผสมผสานของศาสตร์และศิลป์ที่ยากต่อการสร้างเป็นอัลกอริทึม จึงทำให้ปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถมาทดแทนได้ อุตสาหกรรมนี้จึงเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับอนาคตของเศรษฐกิจไทย
สมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับจึงมีพันธกิจสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาให้อุตสาหกรรมนี้มีความได้เปรียบในการแข่งขันกับนานาประเทศ เพราะอาชีพนี้เป็นเป้าหมายหลักที่ดึงดูดให้หลายประเทศเกิดความสนใจที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ โดยทางสมาคมฯ ได้ตั้งเป้าหมายหลัก 3 เป้าหมาย
1. การสร้างอัตลักษณ์ “พลอยไทย” ให้เป็นที่นิยมในระดับสากล เนื่องจากพลอยไทยได้รับการยอมรับจากคู่ค้าทั่วโลกให้เป็นแหล่งผลิตที่ดีที่สุด จนได้รับการขนานนามประเทศไทยว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งอัญมณีโลก” สมาคมฯ จึงเล็งเห็นโอกาสที่จะผลักดันให้เป็นที่รู้จักสำหรับบุคคลทั่วไปและนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยถือเป็นการสร้าง Soft Power ที่สำคัญ
2. การพัฒนาปรับปรุงกฎระเบียบและภาษีต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมและสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ โดยสมาคมฯ ได้ร่วมกับสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย ศึกษาและผลักดันมาตรการภาษี และกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งกับนานาประเทศได้ ประเทศไทยต้องมีความได้เปรียบ ต้องดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้ ตลอดจนมีเป้าหมายสร้างให้ประเทศไทยเป็น Sourcing Destination สำหรับคู่ค้าทั่วโลก โดยมีการผลิตครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
3. การผลิตแรงงานฝีมือให้เพียงพอต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรม เนื่องจากตลาดแรงงานในอุตสาหกรรม
อัญมณีและเครื่องประดับถือเป็นปัจจัยสำคัญเร่งด่วนที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในยุคที่อัตราการเกิดของประชากรไทยลดลง จึงทำให้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องวางรากฐาน เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมนี้ต่อไป
สำหรับ “เทศกาลซื้ออัญมณีและเครื่องประดับไทย Thailand Gems & Jewelry Fair 2023” ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนทั้งจากทางรัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสมาพันธ์อัญมณี เครื่องประดับ และโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย (GJPCT) ร่วมด้วยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. โดยตั้งใจจัดขึ้นเพื่อให้เป็นเทศกาลนานาชาติที่สร้างให้คนทั่วโลก ได้ซื้อพลอยสีที่คุณภาพดีที่สุดโดยตรงจากผู้ผลิตในไทย หากนึกถึงพลอยสี ต้องนึกถึง “พลอยไทย” อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตได้เจอกับผู้บริโภคบุคคลทั่วไปโดยตรงทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก สามารถใช้ความได้เปรียบนี้ สร้างให้ประเทศไทยเป็นที่จดจำและทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ซื้อของฝากจากแหล่งพลอยสีที่ดีที่สุดในโลก โดยไฮไลต์สำคัญตลอดการจัดงานนั้น ผู้ที่เข้าร่วมงานจะได้พบกับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทุกชนิดที่มีคุณภาพและหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ผ่านบูธสินค้ากว่า 1,000 บูธ ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ
ด้าน นายสมชาย พรจินดารักษ์ ประธานสมาพันธ์อัญมณีเครื่องประดับและโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สมาพันธ์อัญมณีเครื่องประดับและโลหะมีค่าแห่งประเทศไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ จัดงาน “เทศกาลซื้ออัญมณีและเครื่องประดับไทย Thailand Gems & Jewelry Fair 2023″ โดยจุดเด่นของงานในครั้งนี้ จะมีการเปิดตัวมาตรฐานราคาพลอยสี ซึ่งได้พัฒนาร่วมกันกับ NGTC ที่เป็นหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญที่สุดของจีน โดยประเทศจีนจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการทันที มาตรฐานราคานี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ซื้อ สร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาด โดยในระยะยาวสมาพันธ์ฯ มุ่งหวังผลลัพธ์ที่จะยกระดับ Asset Class ของพลอยสี เทียบเท่าเพชรและทองคำ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่สมาพันธ์ฯ ได้สร้างสะสมมาเป็นเวลาหลายปี ได้แก่
1. ระบบภาษี Zero Vat สำหรับวัตถุดิบพลอยสี และ Duty Free สำหรับอัญมณีและเครื่องประดับทั้งหมด เป็นแนวคิดที่สมาพันธ์ฯ ผลักดันจนสำเร็จ ซึ่งโครงสร้างทางภาษีเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ไทยนั้นเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ
2. การสร้างมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพแห่งชาติโดยสมาพันธ์ฯ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้และทักษะที่เป็นมาตรฐาน และสร้างคุณค่าให้แก่แรงงานฝีมือในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ
3. การริเริ่มและเป็นผู้นำในการจัดประชุม AEC + 10 President Summit เพื่อสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ
4. การลงนามความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ศรีลังกา ตุรกี อเมริกา อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ รัสเซีย กลุ่มแอฟริกา กลุ่มอาเซียน กลุ่มประเทศตะวันออกกลางโดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ซึ่งสมาพันธ์ฯได้ทันทีเมื่อไทยฟื้นความสัมพันธ์
5. การสร้างตลาดใหม่ โดยเฉพาะกับประเทศอินเดียและจีน ซึ่งสมาพันธ์ฯดำเนินการมาแล้วกว่า 20 ปี จนวันนี้ ประเทศอินเดียและจีน คือลูกค้าอันดับหนึ่งของไทย
6. จากที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตพลอยสีอันดับหนึ่งของโลก จึงสร้างแบรนด์ “พลอยไทย” เพื่อทำให้เกิดอัตลักษณ์ใหม่เป็น Soft Power ที่ภาคภูมิใจของคนไทยทุกคน พร้อมตั้งเป้าให้ “พลอยไทย” เกิดความนิยมระดับนานาชาติเทียบเท่าอัตลักษณ์อื่นอย่างเช่นมวยไทย
จากปัจจัยต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานสนับสนุน จึงทำให้ “เทศกาลซื้ออัญมณีและเครื่องประดับไทย ThailandGems & Jewelry Fair 2023″ จะเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและคาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศมากกว่าแสนล้านบาทในปีนี้ พร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและเป็นอัญมณีเม็ดงามที่จะสร้างอนาคตให้คนไทยทุกคน
นอกจากนี้ภายในงานผู้เข้าชมยังจะได้พบกับโซนใหม่ “The Lux” ที่สุดแห่งความหรูหรากับที่สุด 7 บริษัทชั้นนำของโลก ที่จะมาแสดงทั้งอัญมณีล้ำค่า และเครื่องประดับสุดอลังการ และยังมีผู้ผลิตกว่า 1,000 บูทในโซนพลอยสี, เพชร, เครื่องประดับทอง, เครื่องประดับเงิน, เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต รวมถึงยังได้พบกับผู้ผลิตโดยตรงจาก ฮ่องกง จีน ศรีลังกา ตุรกี แทนซาเนีย สิงคโปร์ โปแลนด์ เกาหลี เมียนม่าและอีกนานาประเทศที่จะทำให้งานนี้ตอบครบทุกโจทย์ที่คุณมองหา” นายสมชาย กล่าว
“การจัดงานครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงงานแสดงสินค้า แต่ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงและสัมผัสเสน่ห์อันลึกล้ำของอัญมณีไทย ควบคู่ไปกับการแสดงให้นักลงทุนและชาวต่างชาติได้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยที่จะก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับแหล่งสำคัญของโลกอย่างเต็มรูปแบบ โดยเน้นให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการยกระดับและสร้างความเชื่อมั่นไปพร้อมกัน เพื่อนำไปสู่การสร้างอนาคตของไทยให้เข้มแข็ง ให้คนไทยได้มีอาชีพที่มั่นคงในยุคเปลี่ยนผ่านทางด้านเทคโนโลยี อันนำไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศให้ยั่งยืน” นายกสมาคมผู้อัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับงาน “เทศกาลซื้ออัญมณีและเครื่องประดับไทย Thailand Gems & Jewelry Fair 2023” มีกำหนดจัดงานรวม 4 วัน ระหว่างวันที่ 22 – 26 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 – 18.00 น. ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้โดยไม่มีค่าเข้างาน ซึ่งงานนี้ถือเป็นหนึ่งกลไกสำคัญที่สร้างอาชีพให้คนไทยได้อย่างแท้จริง และเป็นเทศกาลที่นำไปสู่การสร้าง Soft Power ใหม่เสริมความแกร่งให้ทั้ง 2 อุตสาหกรรม อัญมณีและเครื่องประดับ และการท่องเที่ยวของประเทศไทย
ผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมงานสามารถลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าและดูรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.thaigemjewelry.or.th หรือเพจเฟซบุ๊ก Thai Gem and Jewelry Traders Association
———————————–