กลุ่มบริษัท ไอ ซี พี หนุนเกษตรกรไทยสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ทุ่มงบลงทุนร่วมกับ Bug Away Thailandผุดโครงการโดรนต้นแบบเพื่อการเกษตร “Mah Bin” (ม้าบิน) รายแรกในประเทศไทยตั้งเป้าครอบคลุมพื้นที่การใช้งานกว่า 60% ทั่วประเทศ
กลุ่มบริษัท ไอ ซี พี ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ปุ๋ยตราม้าบิน ปุ๋ยท็อปวัน ตรา ไอ ซี พี และผลิตภัณฑ์อารักขาพืช ตรา ไอ ซี พี ลัดดา ที่อยู่คู่เกษตรกรไทยมายาวนานกว่า 40 ปี ทุ่มงบขับเคลื่อนการเกษตรไทยด้วยนวัตกรรม สู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ประกาศร่วมทุนกับ Bug Away Thailand (บัค อะเวย์) ผู้ผลิตโดรนเพื่อการเกษตรโดย บริษัท ดีจีไอ โปรดักชั่น จำกัดพัฒนาโครงการโดรนต้นแบบเพื่อการเกษตร ที่คิดค้น ออกแบบ และผลิตโดยคนไทย เจ้าแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mah Bin (ม้าบิน) เดินหน้ายกระดับเกษตรกรไทยสู่ New S-Curve เพิ่มมูลค่าและความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การเกษตรสมัยใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าครอบคลุมพื้นที่การใช้งาน 60% เพิ่มยอดผู้ใช้งานโดรนเกษตรกว่า 10,000 ราย พร้อมขยายศูนย์บริการครอบคลุม 40 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2566
นายคณิน สุวรรณนภาศรี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท ไอ ซี พี เฟอทิไลเซอร์ จำกัด กล่าวว่า“กลุ่มบริษัท ไอ ซี พี ประกอบด้วย บริษัท ไอ ซี พี เฟอทิไลเซอร์ จำกัด บริษัท ไอ ซี พี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท ไอ ซี พี ลัดดา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ปุ๋ยตราม้าบิน ปุ๋ยท็อปวัน ตราไอ ซี พี และผลิตภัณฑ์อารักขาพืช ตราไอ ซี พี ลัดดา เรามีความเชี่ยวชาญและอยู่คู่เกษตรกรไทยมายาวนานกว่า 40 ปี โดยการเกษตรกรรมมีความสำคัญต่อประเทศไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับไทยแลนด์ 4.0 เป็นยุคแห่งการใช้นวัตกรรมพลิกโฉมและขับเคลื่อนเกษตรกรไทย ทำน้อยแต่ได้ผลมาก ซึ่งหนึ่งในปัญหาหลักของธุรกิจภาคการเกษตรประเทศไทย คือการขาดแคลนแรงงาน และขาดความรู้ในเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือการเปลี่ยนการเกษตรแบบดั้งเดิม (Traditional Farming) สู่การเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นการบริหารจัดการและใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม (Smart Farming) เพื่อให้ผลิตได้อย่างแม่นยำ ประหยัดทรัพยากร สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และต้องการให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี นี่จึงเป็นที่มาของครั้งแรกกับการร่วมลงทุนระหว่าง กลุ่มบริษัท ไอ ซี พี (70%) และ Bug Away Thailand – บัค อะเวย์ (30%)ผู้ผลิตโดรนเพื่อการเกษตรโดย บริษัท ดีจีไอ โปรดักชั่น จำกัดพัฒนาโครงการโดรนต้นแบบเพื่อการเกษตร ที่คิดค้น ออกแบบ และผลิตโดยคนไทย เจ้าแรกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ Mah Bin (ม้าบิน)”
นางสาวรัตยา เฉลิมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท ดีจีไอ โปรดักชั่น จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า “โดรนเกษตร คืออากาศยานไร้คนขับ ที่ใช้งานทางการเกษตร ปัจจุบันมีทั้งการฉีดพ่นสารน้ำ การหว่านปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ การถ่ายภาพเพื่อสำรวจคุณภาพผลผลิต โดยปัจจุบันกว่า 90% ของโดรนเกษตร จะอยู่ในรูปแบบของการพ่นสารน้ำ การหว่านปุ๋ยและเมล็ดพันธุ์ โดรนเกษตรมีแนวโน้มเติบโตในตลาดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2564 เติบโตขึ้นถึง 200% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งโดรนเกษตรเข้ามาทดแทนการทำงานเดิมที่เกษตรกรต้องแบกเครื่องพ่นสะพายหลัง ที่มีขนาดถังบรรจุถึง 25 กิโลกรัม ส่งผลเสียต่อเกษตรกรในด้านสุขภาพ และใช้ระยะเวลานานในการทำงาน ไม่สม่ำเสมอ รวมทั้งมีข้อจำกัดในบางช่วงอายุของพืช เช่น ช่วงข้าวออกรวง หรือพืชสูง เป็นต้น โดรนเกษตรจึงเข้ามาตอบโจทย์ ลดระยะเวลาการทำงานให้แก่เกษตรกร เพิ่มคุณภาพการฉีดพ่นที่ทั่วถึงด้วยระบบการวางแผนงานอย่างครอบคลุม และสามารถใช้งานกับพืชได้หลากหลายชนิด ทุกช่วงอายุของพืช พร้อมสร้างอาชีพให้แก่คน รุ่นใหม่ ที่หันมาทำการเกษตรผ่านเทคโนโลยีกันมากขึ้น”
สำหรับประเภทของโดรนเกษตร แบรนด์ Mah Bin (ม้าบิน) ประกอบด้วย โดรนฉีดพ่นขนาดเล็ก สำหรับกลุ่มเกษตรกรระดับครัวเรือน โดรนฉีดพ่นขนาดใหญ่ สำหรับกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ รวมทั้งผู้ให้บริการ และโดรนสำรวจพื้นที่ สำหรับวิเคราะห์รูปแบบแปลง รวมถึงตรวจสอบและประเมินคุณภาพของผลิต โดยมีจุดเด่นที่เป็นแบรนด์แรกของประเทศไทย ซึ่งคิดค้น ออกแบบ และผลิตโดยคนไทย พร้อมรับรองรูปแบบจากกรมวิชาการเกษตร ปั๊มแรงดันสูง รองรับการติดตั้งหัวพ่นทุกรูปแบบ ขนาดเล็ก เบา ง่ายต่อการขนย้าย สีสันสวยงามโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร ราคาไม่แพง พร้อมรับประกัน 1 ปีเต็ม
กลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ต่างๆ เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด มัน สำปะหลัง พืชสวน ทุเรียน ปาล์ม ส้ม ลำไย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศไทย นิยมนำโดรนเกษตรมาเป็นเครื่องมือการฉีดพ่นแทนการใช้แรงงาน โดยปัจจุบันมีผู้ใช้งานโดรนเพื่อการเกษตรในประเทศไทยอยู่ที่ 2,000 – 3,000 ลำทั่วประเทศ ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานเพียง 20% เท่านั้น โดยโดรนเพื่อการเกษตรแบรนด์ Mah Bin (ม้าบิน) ตั้งเป้าขยายพื้นที่การใช้งานให้ครอบคลุมกว่า 60% พร้อมเดินหน้าขยายศูนย์บริการครอบคลุม 40 แห่ง ทั่วประเทศ ทะยานสู่รายได้รวม 2,500 ล้านบาท ภายในปี 2566
“ปัจจุบันตลาดปุ๋ยเคมี และผลิตภัณฑ์อารักขาพืช ในประเทศไทยมีมูลค่ารวม ประมาณ 1 แสนล้านบาท ต่อปี โดยกลุ่มบริษัทไอ ซี พี มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณอยู่ที่ 15% มูลค่ายอดขายรวมมากกว่า 15,000 ล้านบาทต่อปี และมีฐานลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจผลิตภัณฑ์อยู่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยมากกว่า 2,000 ร้านค้า พร้อมนำเข้า ผลิตและจัดจำหน่าย สินค้าปัจจัยการผลิตทางการเกษตรครบวงจรมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมั่นใจว่าจากศักยภาพและความชำนาญของกลุ่มบริษัทไอซีพี และ Bug Away Thailand (บัค อะเวย์) จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับเกษตรกรไทย พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ ยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด” คุณคณิน กล่าวทิ้งท้าย
——————————————